พื้นฐาน SEO สำหรับเจ้าของธุรกิจ

หากคุณเป็นเจ้าของกิจการที่มีเว็บไซต์มักจะมีคำถามเกิดขึ้นในหัวก็คือ

ทำยังไงถึงจะมีคน search เจอเว็บเราบน Google?

SEO คือคำตอบ ในบทความนี้ เราจะมาพูดถึงว่า อะไรคือ SEO ทำไมคือสิ่งจำเป็นที่ต้องรู้สำหรับเจ้าของกิจการ แม้จะไม่ได้ทำเอง แต่ก็จะได้ไอเดีย มีความรู้พื้นฐานไปคุยกับคนที่ทำรู้เรื่อง และสามารถไปค้นคว้าหาข้อมูลต่อเพื่อต่อยอดด้วยตัวเองได้

SEO คืออะไร?

SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization แปลกันเป็นภาษามนุษย์ ก็คือ กระบวนการปรับแต่ง online content ให้ search engine อยากที่จะแสดงเนื้อหาของเราให้อยู่ในอันดับแรกๆ จากการค้นหาด้วย keyword ที่เราวางแผนไว้

โดย online content ที่ว่านั้น ไม่เฉพาะแค่เว็บไซต์, บล็อค เท่านั้น แต่รวมไปถึงอะไรก็ตามที่เราไปมีตัวตนอยู่บนอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจเป็น facebook page, twitter, instagram, pinterest etc.

ยกตัวอย่างเช่น คุณเป็นเจ้าของร้านขายอาหารเพื่อสุขภาพ แน่นอนว่าเป้าหมายของคุณคือ ต้องการให้คนที่ค้นหาคำว่า “ร้านอาหารเพื่อสุขภาพ” บน google แล้วเจอเว็บร้านอาหารเพื่อสุขภาพของคุณเป็นอันดับแรกๆ ซึ่งเจ้า SEO นี่ล่ะ คือกระบวนการที่ทำให้ google ไม่ใช่แค่เจอ แต่ “ชอบ” เว็บของเราจนเอาไปขึ้นหน้าแรกให้

ทำไมต้องสนใจ SEO?

นั่นสิทำไม? คุณรู้หรือไม่ จากผลสำรวจ พบกว่า 93% ของคนที่เข้าอินเตอร์เน็ต เริ่มด้วย search engine (ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือเริ่มด้วย google นั่นแหล่ะ)

ทำไมต้องติดหน้าแรก? ถามตัวเองดูก็รู้ กี่ครั้งที่คุณคลิกไปหน้า 2 หน้า 3 ของ google? น้อยครั้งมากใช่มั้ย ก็เพราะว่า 67% ของคนที่ค้นหาสิ่งที่ต้องการ จะคลิกที่ 5 อันดับแรก

ฉะนั้นเป้าหมายของคุณคือ “ต้องอยู่หน้าแรกเท่านั้น”

Search Engine ทำงานยังไง?

จริงๆ เวลาเราเข้า google แล้วกรอก keyword เพื่อค้นหาข้อมูลนั้น เราไม่ได้ค้นหาคำนั้นจากเว็บต่างๆ แต่เรากำลังค้นหาคำนั้นในฐานข้อมูลของ google (google index) ต่างหาก ซึ่ง google จะมีโปรแกรมที่เรียกว่า Spider หน้าที่ของมันก็คือ เอาไว้วิ่งไปเก็บข้อมูลของเว็บต่างๆ เริ่มจากหน้าเว็บหนึ่งแล้วลิ้งค์ต่อไปเรื่อยๆ แล้วข้อมูลของเว็บเพจเหล่านั้นมาเก็บไว้โดยใช้ “PageRank” เป็นตัวจัดอันดับว่าเว็บไหนมีภาษีดีกว่ากัน ยกตัวอย่างเช่น หากเว็บเราเป็นเว็บใหม่ เพิ่งเปิดไม่นาน มีเนื้อหาบนเว็บน้อย ก็จะมีPageRank ต่ำกว่าเว็บคู่แข่งที่เปิดมานานแล้ว มีเนื้อหาเยอะ คนเข้าเยอะ เป็นต้น อันนี้เป็นตัวอย่างแค่ 1 ตัวแปร ในการที่ google จะจัดลำดับว่าเว็บเราควรอยู่ใน PageRank ไหน

สิ่งที่ google ใช้จัดลำดับ PageRank คืออะไร? คำตอบคือเยอะมากกก กว่า 200 เรื่อง สามารถอ่านลิสทั้งหมดได้ที่ Google’s 200 Ranking Factors

SEO สายสว่าง VS SEO สายมืด

อยากให้เว็บติดอันดับหนึ่ง อยากให้เว็บติดอันดับเร็ว มีสองวิธี คือ ทำ seo สายมืด ไปก๊อบเนื้อหาเว็บอื่นมาใส่ ใส่ text เยอะๆ แต่ซ่อนเอาไว้ ใส่ keywords ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเว็บตัวเองไว้เยอะ โดยเฉพาะ keywords ที่ฮิตๆ เราก็ตามไป อย่างนี้เรียกว่า Blackhat SEO หรือ SEO สายมืด หรือสายปั่น ซึ่งเราขอไม่แนะนำให้เดินทางนี้ เพราะมันจะไม่ยั่งยืนในระยะยาว และสุดท้ายธุรกิจออนไลน์ของคุณก็จะพัง โดน blacklist จาก google และดูไม่น่าเชื่อถือในสายตาลูกค้า

แล้ววิธีที่ยั่งยืนล่ะเป็นยังไง? เคยได้ยินคำว่า content is king มั้ย? นั่นแหล่ะ หากคุณมี content ที่ดี content ที่กลุ่มลูกค้าของคุณมองหา content ที่ตรงจุดตอบโจทย์และไม่ไม่ได้ไปลอกชาวบ้านมา (unique content) คุณมีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว ที่เหลือก็เป็นเรื่อง techniques ต่างๆ เช่น การตั้งชื่อเว็บ การใส่ชื่อรูป การเขียน html ให้ถูกต้องตาม standard ฯลฯ ซึ่ง techinqes การปรับแต่งเหล่านี้ ถูกแบ่งเป็นสองวิธีใหญ่ๆ คือ on-page SEO และ off-page SEO

On-Page SEO กับ Off-Page SEO

เราเริ่มเข้ามาในส่วนของ Technique แล้ว ในการทำ SEO นั้น เราจะแบ่งการทำออกได้เป็น 2 แบบใหญ่ๆ ก็คือ on-page SEO กับ off-page SEO

On-page SEO

คือ การปรับแต่งหน้าเว็บให้ตรงไปตามข้อกำหนดของ search engine เพื่อให้ search engine มาค้นหาและเก็บข้อมูลเราได้ง่าย และพร้อมที่จะเอาหน้าเว็บเราไปแสดงผล หากมีคนมาค้นหาคำที่เราเราวางแผนไว้ เปรียบเทียบง่ายๆ กับการหาแฟนก็คือ หมั่นดูแลตัวเองให้ดีเข้าไว้ เดี๋ยวก็มีคนเข้ามาเอง

5 สิ่งที่ต้องทำสำหรับ on-page SEO

  1. Keyword Research ฟังดูจริงจัง แต่ที่จริงแล้วก็แค่ “การทำความเข้าใจลูกค้า” ลองเอาตัวเองไปอยู่ในมุมลูกค้าดู แล้วคิดว่าถ้าเราต้องการจะหาร้านอาหารสุขภาพ เราจะกรอกคำว่าอะไรในช่อง search บ้าง? แน่นอนว่าคำว่า “ร้านอาหารสุขภาพ” ต้องแว่บขึ้นมาอันดับแรก แต่ห้ามหยุดแค่นั้น ให้คุณลองค้นหาจริงๆ ว่าคน search คำว่าอะไร ดูเอาจากที่ google แนะนำต่อก็ได้ ได้ลิสคีย์เวิร์ดแล้วเก็บเอาไว้ เราจะเอามาใช้ในการเขียน content กัน
    Tip: เครื่องมือที่สำคัญในการทำ Keyword Research คือ Keyword Planner ของ Google ที่จะทำให้คุณทราบว่า Keyword ที่เราคิดว่ามันน่าสนใจมีคน Search จริงมากน้อยแค่ไหน Trend เป็นอย่างไร และมีอัตราการแข่งขันที่ยากง่ายอย่างไร
  2. Content ต้องมีคุณภาพ สด ใหม่ มีเนื้อหาที่ตรงประเด็น อุดมไปด้วย keywords ที่เราวางแผนไว้ โดยส่วนที่สำคัญที่สุดที่เราควรจะต้องเอา keywords ที่เราหามา มาใส่ไว้ ก็คือ ที่ชื่อหัวข้อของบล็อค และที่เนื้อหาใน paragraph แรก อย่าลืมทำหัวข้อที่สำคัญเป็นตัวใหญ่ เน้นคำสำคัญเป็นตัวหนา เพราะ google จะให้ความสำคัญกับคำที่ถูกเน้นเหล่านี้ และห้ามไป copy & paste หรือไปลอกมาจากเว็บอื่นโดยเด็ดขาด จะทำให้ google มองว่าเราไม่ใช่คนผลิตคอนเท้นท์ และอันดับเราก็จะตกไป
  3. ใส่ Title, เขียน Meta Description ให้ตรงกับเนื้อหาในหน้านั้นๆหรือไม่? ส่วนนี้สำคัญเพราะนอกจาก google จะเข้ามาดูเพื่อวิเคราะห์เว็บเราแล้ว ส่วนนี้จะเป็นสรุปอธิบายเนื้อหาของหน้าเว็บเราบน google ฉะนั้นการเขียน Title กับ Description สำคัญมาก “เขียนให้กระชับ น่าอ่าน และตรง keywords”
title_and_metadescription_on_google
การแสดงผลหน้าเว็บบน google

ตั้งชื่อรูปประกอบ และใส่คำอธิบาย (caption) ซึ่งหากเราไม่บอก google ว่ารูปนี้เกี่ยวกับอะไร google ก็จะหารูปเราไม่เจอ ห้ามเด็ดขาดกับการได้รูปมาแล้วใช้เลย เช่น IMG00012.jpg เปลี่ยนเป็น restuarant-name-shop-in-thonglor.jpg จะทำให้ชื่อร้านคุณติดอยู่กับรูป google ก็มองเห็น

ใส่ปุ่ม social media ให้สามารถคลิก share ได้ง่ายๆ หากเน้นเรื่อง facebook share อย่าลืมเตรียมรูปประกอบเพื่อให้รูปขึ้นเวลาคนเอาเว็บเราไปแชร์ใน facebook 

fb-og-image
การแสดงผลเวลามีคนเอาลิ้งค์ไปแชร์บน Facebook

Off-page SEO

คือ ปรับแต่งๆอื่นๆที่เราควบคุมจากหน้าเว็บของเราไม่ได้ เช่น การทำให้เว็บดังๆ (เนื้อหาต้องเกี่ยวข้องด้วยนะ) ลิ้งค์มาที่เว็บเรา การทำปุ่มให้คนแชร์บล็อคของเราบน social media ได้ง่าย เป็นต้น เช่นกัน หากเปรียบเทียบกับคนโสดที่ดูแลตัวเอง พร้อมแล้วสำหรับที่จะมีแฟน หากนั่งส่องกระจกอยู่กับบ้าน แล้วจะมีใครมาเจอคุณมั้ย? คุณก็ต้องออกไปพบปะผู้คน แนะนำตัวเองให้เป็นที่รู้จัก สร้างความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะในแวดวงที่คุณเล็งเอาไว้ รับรองไม่นาน หากคนดีจริง ยังไงก็ต้องมีคนสนใจและพูดถึง

3 สิ่งที่ต้องทำสำหรับ off-page SEO

  1. สร้างความน่าเชื่อถือ แสดงตนเป็นที่รู้จักในวงการที่คุณสนใจ เช่น คุณเป็นเจ้าของร้านอาหารเพื่อสุขภาพ คุณก็ควรหมั่นแชร์ content ที่เกี่ยวข้อง หรือแสดงความเห็นในเรื่องที่เกี่ยวกับแวดวง การดูแลตัวเอง เข้าไปเจ๊าะแจ๊ะกับคนที่คุณคิดว่าน่าจะเป็น potential customer ของคุณ คำถามคือ แล้วจะเริ่มยังไง? หากร้านคุณมี Facebook Page ก็เริ่มที่เพจของคุณนั่นแหล่ะ แล้วลองหา Facebook group, เว็บบอร์ด หรือเว็บที่เกี่ยวข้อง เข้าไปคอมเม้น ไปพูดคุย ไปมีตัวตน อย่าลืมกรอก profile ใส่ website url ลิ้งค์ที่คุณอยากให้คนคลิกด้วย ข้อควรระวังคือ ห้ามเข้าไปปุ๊บ ขายของปั๊บ สิ่งสำคัญคือ “ต้องรู้จักเป็นผู้ให้เสียก่อน แล้วคุณจะได้รับกลับมาเอง”
  2. ฝากร้าน ฝากลิ้งค์ อันนี้เป็นวิธี growth hacking ที่คนไทยเก่งมากๆ ฝากได้ทุกที่ แต่จะให้ดี ควรเลือกที่ฝากที่ที่คนเค้าสนใจเราจริงๆ คือแทนที่จะฝากร้านสุ่มมั่วไปหมด ให้เลือก ig, facebook, หรือเว็บที่เกี่ยวข้อง แล้วลุย วิธีนี้ออกจะ spam หน่อยๆ ใครไม่ชอบถูกมองเป็น spam เชิญข้อต่อไป
  3. Partnership ลองทำลิสเว็บรีวิวร้านอาหาร, blogger สายชิม, หรือ influencer แนวสุขภาพที่มี follower เยอะๆ แล้วส่งอีเมล แอด facebook หรือโทรไปแนะนำตัวพูดคุย ดูว่าเราจะแลกเปลี่ยนอะไรกันได้บ้างให้ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ไม่ต้องกลัวโดนปฏิเสธ (เพราะต้องโดนอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ทั้งหมด) เพราะเว็บรีวิว และ blogger นั้น มองหา content ที่จะนำไปลงอยู่แล้ว เราก็แค่เสนอให้เค้ามาชิมฟรี ให้ voucher แลกกับการเขียน review หรือ mention ถึงใน social media แค่นี้เราก็จะมีลิ้งค์จากเว็บที่เค้ามีคนเข้าเยอะอยู่แล้วกลับมาที่เว็บเรา แถมเป็นลิ้งค์ที่มีคุณภาพจริงๆอีกด้วย เพราะพูดถึงเราเต็มๆ

จริงๆ หากจะพูดเรื่อง SEO มันมีเนื้อหาขั้นตอนอะไรเยอะแยะ พูดได้เป็นหนังสือ text เล่มหนาๆ แต่เป้าหมายของโพสนี้คืออยากจะปูพื้นให้คนที่เป็นเจ้าของกิจการ พอจะเห็นภาพกว้างๆ ว่า SEO คืออะไร ทำอะไรได้บ้าง สามารถหาข้อมูลเพื่อต่อยอดเองได้ หากอ่านมาทั้งหมดแล้วยังคงงง อะไรคือ SOE แล้วล่ะก็ จำไว้ประโยคต่อไปนี้ประโยคเดียวไว้ก็แล้วกัน

“You will get back in direct proportion to the value you deliver according to the marketplace”

สิ่งที่คุณได้รับกลับจะเป็นสัดส่วนเท่ากับคุณค่าที่คุณสร้างขึ้นให้กับตลาด ฉะนั้นจงสร้าง content ที่ดี ที่เหลือก็ง่ายขึ้นเยอะ :)

Subscribe
Notify of
guest
0 Comments
Inline Feedbacks
View all comments
Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    Cookies Details

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    Cookies Details

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    Cookies Details

Save