เมื่อเดือนที่แล้ว โบกับที่บ้าน เพิ่งริเริ่มธุรกิจใหม่กัน แบรนด์น้ำพริกแบบพรีเมียม “รสเทอร์โบ” ที่มี “น้ำพริกกะปิ รสเทอร์โบ” เป็นสินค้าตัวแรกของเรา โดยเน้นขายบนช่องทางออนไลน์ Shopee
ในบทความนี้ คือบันทึกที่มาที่ไป กระบวนการที่เราทำ จากไอเดีย → สินค้าพร้อมขายใน 25 วัน ด้วยเงินลงทุน < 5,000 บาท แบบละเอียดยิบทุกขั้นตอน
- วันที่ 1-3: เช็คไอเดีย
- วันที่ 4-7: ส่องคู่แข่งในตลาด
- วันที่ 8-15: พัฒนาสินค้า ทำ Prototype
- วันที่ 15-20: แบรนดิ้ง และดีไซน์
- วันที่ 18-24: Pre-launch & เปิด pre-order
- วันที่ 25: ส่งออร์เดอร์แรก!
พร้อมแล้วมาเริ่มกันเลย :)
วันที่ 1-3: เช็คไอเดีย
ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะทำธุรกิจ ทำสินค้านี้ เราต้องมา Validate Idea กันก่อน ด้วยการถามคำถามเหล่านี้
- มีคนที่เค้าขายกันมั้ย แล้วขายได้ดีหรือเปล่า?
- มีเจ้าตลาดหลักหรือยัง? เพราะถ้ามี Top of Mind แล้ว เราก็จะแข่งยาก (แต่ก็ไม่ได้แปลว่าแข่งไม่ได้)
- Growth potential มีโอกาสโตได้ไหม?
ยกตัวอย่างเช่น แบรนด์น้ำพริก เป็นตลาดที่ saturate หรือเข้มข้นประมาณนึง นั่นแปลว่ามีคนขาย คนซื้อ และขายได้ แต่ยังไม่ได้มีเจ้าตลาดชัดๆ ขนาดนั้น ด้วยความที่เป็นของที่ราคาไม่แพง คนยังคงพร้อมที่จะลองสั่ง ลองทานของใหม่อยู่เรื่อยๆ
นอกจากนั้น ยังมีโอกาสที่จะเติบโต ส่งออก เพราะเป็นสินค้าที่ Pack ได้ คนต่างชาติชอบอาหารไทยเยอะ คนไทยที่อยู่ต่างประเทศก็อยากที่จะทาน สามารถพกพาไปเป็นของฝากคนไทยที่โน่นได้เป็นอย่างดี
และนอกจากนั้น มีสินค้าน้ำพริก รวมถึงสินค้าอาหารไทยอื่นๆ ที่สามารถต่อยอดไปได้อีกไม่จบสิ้น!
ตอบตัวเองได้ 3 ข้อ เราก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเออสินค้าตัวนี้มันน่าจะไปได้!
วันที่ 4-7: ส่องคู่แข่งในตลาด
ด้วยความที่สินค้ามีราคาไม่สูง เราจึงไปซื้อสินค้าคู่แข่งที่มีในตลาดมาลองซะเลย
เราซื้อน้ำพริกกะปิที่ในตลาดที่มีขายออนไลน์มาลองเกือบ 10 ร้าน โดยจะพิจารณาเรื่อง:
- รสชาติ
- บรรจุภัณฑ์
- การทำการตลาด
- Positioning ในตลาด
โดยมีเป้าหมายหลักคือการ “หาช่องว่าง” ในตลาดที่เราจะแทรกตัวไปอยู่ได้
สิ่งที่พบในสินค้านี้คือ ราคาขายเป็น Range ที่กว้างมาก คือตั้งแต่ 30 บาท จนถึงเกือบ 200 บาท!
ทำให้เรารู้ว่ามีช่องว่างที่เราสามารถเข้าไป fulfill ได้ ซึ่งก็คือ
การเป็นน้ำพริกที่คุณภาพแบบพรีเมียม รสชาติ Authentic แต่มีภาพลักษณ์แบบโกอินเตอร์
“เราไม่จำเป็นต้องเป็นน้ำพริกกะปิเจ้าแรก แต่เราเป็นน้ำพริกกะปิพรีเมียมเจ้าแรกได้”
วันที่ 8-15: พัฒนาสินค้า ทำ Prototype
แม้น้ำพริกกะปิเป็นเมนูที่เจ๊หมวย (แม่โบเอง) เจ้าของสูตรภาคภูมิใจ (เพื่อนโบทุกคนชอบกินอาหารเจ๊มาก) แต่การทำสินค้าขายเลยโดยไม่ฟังเสียงลูกค้า คือความเสี่ยงที่ไม่ควรพลาดเป็นอันขาด
เราทำความเข้าใจลูกค้า โดยการไปไล่คุยกับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่เป็นที่ชอบทานน้ำพริกกะปิอยู่แล้ว เพื่อหา Pain Point และปิดจุดอ่อนในสินค้า
ตัวอย่างคำถามที่โบใช้คือ
- ปัญหาอะไร เกี่ยวกับน้ำพริกกะปิ?
- อยากเอาน้ำพริกกะปิไปกินกับอะไรบ้าง?
- อยากได้สูตรอะไรเป็นพิเศษ ที่หาไม่ค่อยได้ ไม่อร่อย?
เมื่อได้ insight แล้ว เราก็เริ่มลงมือทำซื้อวัตถุดิบมาทำ Prototype กันทันที โดยมีเป้าหมายคือ
- ได้ Feedback ให้เร็วที่สุด
- เพื่อหารสชาติที่ลงตัว ถูกปากลูกค้า
- คำนวนต้นทุนวัตถุดิบ ระยะเวลาการผลิต และการเก็บรักษา
เราทำ Prototype อยู่ 3 lots แบบไม่ขาดทุน เพราะว่ามีการเอาไปขายในราคาทุนให้กับเพื่อนๆ เพื่อขอฟีดแบ็คด้วย
วันที่ 15-20: แบรนดิ้ง และดีไซน์
เรารู้ positioning ของแบรนด์เราแล้วล่ะ ว่าจะเป็นน้ำพริกกะปิแบบพรีเมียม
สิ่งสำคัญที่จะช่วยสะท้อนแบรนด์ “น้ำพริกกะปิแบบพรีเมียม” เราออกไปก็คือ Branding และ Visual Design
(ขั้นตอนนี้ วิญญาณ designer ต้องกลับมาแล้วนะ 555)
พอเป็นแบรนด์อาหารไทย ไอเดียแรกๆ ที่เราจะคิดถึงกันก็คือความ Authentic
แต่โบไม่อยากให้มัน Authentic แบบโบราณ หรือแบบ ไท๊ยไทย ที่เรามักเห็นกันตามท้องตลาด
งั้นก็ทำให้เป็น “น้ำพริกของ Global Citizen ที่มีความ Culture” ไปเลยสิ!
พอได้ concept แล้ว ต่อไปก็ง่ายขึ้น โบเริ่มด้วยกันลบภาพดีไซน์น้ำพริกแบบเดิมๆ และไปเสพ Packaging Design ดีๆ จากใน Pinterest
แต่โบก็มีเวลาแค่ 5 วัน ในการที่จะออกแบบ และผลิต packaging เพื่อให้พร้อมขาย
โบใช้เวลา 1 วันในการออกแบบ Logo และ Packaging
ใช้เวลา 1 วันในการคุยกับที่บ้าน เพื่อให้มั่นใจว่าขนาดของดีไซน์ที่ออกแบบนั้นพอดี สวยงาม กับกระปุกที่เป็น packaging หลักของเรา (เพราะโบไม่มีกระปุกอยู่กับตัว)
1 วันในการหาและดีล Supplier ที่รับผลิตสติกเกอร์ให้เรา แต่ด้วยความที่โบออกแบบทุกอย่างใน Canva เลยทำให้ต้องคุยกับโรงพิมพ์อยู่ซักพัก เพราะปกติเขาจะรับไฟล์งานเป็น Adobe Illustrator เท่านั้น ก็เลยมีต้องมีการคุยค่อนข้างเยอะ แต่สุดท้ายอยากจะบอกว่า มันพิมพ์ได้หมด เพียงแค่ต้องแน่ใจว่าไฟล์รูปที่ส่งไปมีขนาดกว่าที่จะพิมพ์อย่างน้อย 2-3 เท่า
และอีก 2 วันในการรอผลิตและจัดส่ง
ซึ่งสุดท้ายตัวสติกเกอร์ก็ส่งมาได้ทันเวลาพอดี :)
วันที่ 18-24: Pre-launch & เปิด pre-order
“ไม่ต้องรอที่จะทำของก่อนให้เสร็จแล้วค่อยผลิต”
เราพยายามจะ leverage เครือข่ายที่เรามี a.k.a. เพื่อนๆ คนรู้จักเราก่อนนี่ล่ะ!
สิ่งที่โบทำก็คือ
- โพสต์การออกแบบ Packaging
- โพสต์เสียงฟีดแบ็คจากลูกค้าที่ได้ลองชิม
- โพสต์อัปเดต Process เบื้องหลังการพัฒนาสินค้า
เราเปิดรับพรีออร์เดอร์ก่อนที่จะผลิตจริงประมาณ 1 สัปดาห์ (แบบไม่ได้บอกด้วยนะว่าจะส่งวันไหน 555)
ก็ต้องขอบคุณลูกค้า early adopters ผู้สนับสนุนทุกคนจนทำให้เราได้ยอด pre-order น้ำพริกกะปิ รสเทอร์โบ ล็อตแรกมาทั้งสิ้น 55 กระปุก!
วันที่ 25: ส่งออร์เดอร์แรก!
ในที่สุดจากวันแรกจนถึงวันนี้ นับเป็นเวลา 25 วันพอดี
เราก็ได้ผลิต “น้ำพริกกะปิ รสเทอร์โบ” ล็อตแรกไปให้ลูกค้าได้สำเร็จ!
แม้ทีมงานจะเหน็ดเหนื่อยกับการแพ็คสินค้า แต่เสียงตอบรับที่ได้ก็ทำให้เราหายเหนื่อยเลย
And the rest is not history, yet
เพราะการออกสินค้าใหม่นั้น เป็นแค่จุดเริ่มต้น แต่การจะทำให้แบรนด์นี้เกิด และเป็นธุรกิจจริง ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำ
รวมถึงเป้าหมายที่อยากจะส่งออกแบรนด์นี้ไปที่ USA แม้โบส่งออก DailySleek ไปขายที่ Amazon USA อยู่แล้ว แต่พอเป็นสินค้าที่เป็นอาหาร ก็มีอีกหลายอย่างที่ต้องศึกษาและเรียนรู้ :)
คำตอบอยู่ในการลงมือทำ
ก่อนหน้านี้ ที่บ้านก็คิดอยากทำอะไรมาหลายอย่าง แต่ส่วนมากก็ไม่ได้ทำ เพราะ “คิดเยอะจนไม่ได้ทำ”
“มันจะเวิร์คมั้ย”
“นี่เป็นไอเดียที่ดีหรือเปล่า?”
“ใครๆ ก็ทำกันนะ เราจะสู้อะไรได้?”
“ทำไปจะคุ้มมั้ย?”
คำถามเหล่านี้ บางอย่างเราตอบได้ด้วยการคิดบนกระดาษ (และเชียร์ให้คิดก่อนนะ)
แต่บางอย่าง เราจะหาคำตอบได้ด้วยการลงมือทำเท่านั้น
หวังว่าบันทึกประสบการณ์การสร้างแบรนด์ “รสเทอร์โบ” นี้จะมีประโยชน์สำหรับคนกำลังอยากจะเริ่มทำธุรกิจของตัวเอง หรือออกสินค้าบริการใหม่ๆ 😃
ใครที่ชอบทานน้ำพริกกะปิ โบขอฝาก “น้ำพริกกะปิ รสเทอร์โบ” เอาไว้คู่บ้านด้วยนะคะ 😊
สั่งซื้อ และติดตามได้ที่:
Shopee: https://shope.ee/9pCczJmQ4M
Instagram: https://instagram.com/turbotastethailand
Facebook: https://www.facebook.com/turbotastethailand
