1.
ใน TEDTalk เรื่อง How to Achieve Your Most Ambitious Goals คุณ Stephen Duneier พูดถึงสถิติการแข่งขันของ Novak Djokovic นักเทนนิสชื่อดังชาวเซอร์เบีย
Novak Djokovic เข้าสู่วงการเทนนิสมืออาชีพตั้งแต่ปี 2004 ด้วยอันดับหกร้อยกว่า มีรายได้จากการแข่งขันปีละ 3 แสนเหรียญ ในช่วงนั้นสถิติการชนะของเขาอยู่ที่ 49%
เขาใช้เวลา 3-4 ปี ในการไต่ลำดับจาก 100+ ขึ้นเป็น TOP 3 ของโลก และทำเงินจากรางวัลที่ได้จากการแข่งขันเพียงอย่างเดียวได้ถึงปีละ 5 ล้านเหรียญ ซึ่งเกิดจากสถิติการชนะที่เพิ่มเป็น 79%
จนมาในปี 2011 เขาก้าวขึ้นเป็นมือ 1 ของโลก ทำเงินรางวัลจากการแข่งขันได้ถึงปีละ 14 ล้านเหรียญ ด้วยสถิติการชนะอยู่ที่ 90% เรียกว่าลงแข่ง 10 ครั้ง เขาจะได้รับชัยชนะถึง 9 ครั้ง
อันดับโลก? เงินรางวัลที่จะได้รับ? อัตราส่วนการชนะ? คือสิ่งที่เขาไม่สามารถควบคุมได้โดยตรง
สิ่งที่ตัดสินว่าเขาจะชนะหรือไม่ชนะในแมทช์นั้นๆ คือ % ของแต้มที่เขาชนะต่างหาก
ที่มา: https://www.youtube.com/watch?v=TQMbvJNRpLE
การเพิ่มขึ้นของ % ของแต้มที่ชนะ จาก 49% เป็น 52% หรือเพียงแค่ 3% ส่งผลให้อัตราการชนะของเขาเพิ่มขึ้นถึง 30%
จากมือ 3 เป็น มือ 1 ของโลก ทำเงินรางวัลเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า เกิดจากการที่ % การทำแต้มของเขาสูงขึ้น 3%
การที่ Novak Djokovic ประสบความสำเร็จในอาชีพ มีชื่อเสียงและร่ำรวย เป็น 1 ในตำนานนักเทนนิสมืออาชีพ เป็นเพราะเขาแตกเอาเป้าหมายที่ดูยิ่งใหญ่มาเป็นเป้าหมายที่เล็กพอ ที่มั่นใจว่าควบคุมมันได้ และมุ่ง Focus ในสิ่งนั้น ในที่นี้คือการทำให้แต่ละแต้มนั้นมีความหมาย ทีละแต้ม ทีละแต้ม เท่านั้นเอง
ความลับข้อที่ 1: เลือก โฟกัสกับสิ่งที่เราควบคุมได้
2.
พี่เก่ง สิทธิพงศ์ ศิริมาสเกษม CEO ของบริษัท RGB72 ผู้จัดงาน Creative Talk Conference บอกว่า
“ความรู้ในโลกนี้มีมากมายนัก เราเก่ง 1 เรื่อง เรารู้ 10 เรื่อง แต่ยังมีอีกหลายหมื่นหลายพันล้านเรื่องที่เราไม่รู้”
งาน Creative Talk Conference เป็นงานใหญ่ประจำปี มีหัวข้อการบรรยายที่หลากหลายและน่าสนใจมาก ตั้งแต่เรื่อง Creative, Business, Marketing, Self Development, Data, Customer Experience ลามไปถึงเรื่องควอนตัมฟิสิกส์!
การไปงาน Conference หรือการออกไปทำโน่นนี่นั่นช่วยทำให้เราได้พบ ได้เห็น ได้เพิ่มพูนความรู้ในสิ่งที่เราไม่เคยรู้มาก่อน
ชีวิตคนเราไม่ใช่สินค้าพร้อมขาย เมื่อไหร่ที่คิดว่าเราสมบูรณ์แล้ว พอแล้ว และเราจะหยุดพัฒนาตัวเอง—เมื่อเราหยุดเดินพัฒนาตัวเอง เมื่อนั้นเราจะถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลัง
James Clear ผู้เขียนหนังสือ Atomic Habits เล่าถึงแนวคิด 1% ว่า
“เพียงแค่เราตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนาตัวเองในเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้ดีขึ้นแค่วันละ 1% เมื่อถึงวันที่ 365 จะทำให้เราดีขึ้นในเรื่องนั้นขึ้นถึง 37 เท่า!”
ที่มา: jamesclear.com
อ่านหนังสือวันละ 10 หน้า ในหนึ่งปีจะทำให้เราอ่านหนังสือได้ถึง 15 เล่ม (อ่านเพิ่มเติมเรื่องอ่านหนังสือให้ได้ตามเป้าหมาย)
ออกวิ่งวันละ 5 กิโลเมตรทุกวัน ไม่ต้องพ้นปี รับรองว่าไปวิ่ง half วิ่ง full กันได้แน่นอน (ถ้าเป้าหมายคือการวิ่งนะ)
อ.นพดล ทำ Podcast Noppadol’s Story ติดต่อกันทุกวันเป็นเวลากว่า 1 ปีแล้ว จากมีคนฟังหลักสิบ ตอนนี้มีผู้ติดตามหลักหมื่น (และเป็น 1 ใน Podcast ของไทยที่โบชอบและฟังบ่อยที่สุด)
มันน่าตื่นเต้นมากเลยนะ เพียงแค่คิดว่า ตัวเราในอีก 1 ปีข้างหน้า จะ transform เป็นเวอร์ชันที่ดีกว่าเดิมได้ถึง 37 เท่า เพียงเริ่มลงมือพัฒนาตัวเองแค่วันละ 1%
ความลับข้อที่ 2: “เลือกที่จะเรียนรู้และพัฒนาตัวเองให้ได้ในทุกวัน”
3.
It’s not what you know, it’s who you know
งาน Creative Talk Conference ถูกจัดขึ้นมาแล้วหลายปี และในงานปีล่าสุด นับได้ว่าเป็นงาน 1 ในงาน Conference ที่ใหญ่ที่สุดในไทย มีคนเข้าร่วมงานกว่า 4,000 คน และมี Guest Speaker กว่า 100 คน
สิ่งที่เจ๋งไม่แพ้การได้เรียนรู้เรื่องราวในสาขาที่เราไม่เคยรู้ก็คือ การได้รับพลังจากหมู่มวลของคนที่รักการเรียนรู้เป็นจำนวนหลายพันคนที่เดินไปเดินมาในงาน
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ขี้เลียนแบบ และปรับตัวเก่งเสียยิ่งกว่ากิ้งก่า
หนังสือหลายๆ เล่ม (และก็คำแนะนำมากมาย) บอกว่า
“เราคือผลผลิตของค่าเฉลี่ยของคน 5 คนที่เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยมากที่สุด”
หากเราเอาตัวเองไปอยู่ในอยู่สภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่ เช่น อยู่ใน group Facebook ที่มีแต่เรื่องดราม่า วันๆ เราก็จะ Focus แต่เรื่องดราม่า ก่นด่า บ่น เม้าส์ เช้ากลางวันเย็นก่อนนอน บางคืนก็พกเอาเก็บไปฝันด้วย
กลับกัน หากเราเอาตัวเองไปอยู่ในที่ที่คนเค้า Focus เรื่องการเรียนรู้กัน เราก็อยากที่จะทำตัวให้กลมกลืน จากที่อยากเรียนรู้อยู่แล้ว สิ่งแวดล้อมก็กระตุ้นให้เรายิ่งอยากเรียน อยากพัฒนาตัวเองเพิ่มไปอีก
วันนี้ ลองเอาตัวเองไปอยู่ในที่ที่จะส่งเสริมให้เราเป็นคนที่เราอยากเป็นกันดูนะคะ
ความลับข้อที่ 3: เลือก เอาตัวเองไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ช่วยผลักดันให้เราดีขึ้น
ความสามารถในการ “เลือก” ทำสิ่งเล็กๆ ที่มีความหมายคือเคล็ดลับที่เปลี่ยนคนธรรมดาให้เป็นคนที่ประสบความสำเร็จ
เรามักจะบ่นว่า “ไม่มีเวลา” แต่หากคิดดูดีๆ แล้ว เวลานี่ล่ะคือสิ่งที่แฟร์ที่สุดในชีวิตที่คนแต่ลคนได้มาเท่าๆ กันในทุกวัน
เรากับ Elon Musk มีเวลาเท่ากัน แต่เขาเลือกเอาเวลาของเขาไปสร้างยานอวกาศ (โดยที่ไม่สนใจชีวิตส่วนตัวเลย)
เราทุกคนมี 24 ชั่วโมงเท่ากัน อยู่ที่ว่าใครจะ “เลือก” ทำอะไร
คนส่วนใหญ่ใช้เวลาทำงาน 8 ชั่วโมง, นอน 8 ชั่วโมง, ทำธุระส่วนตัวและเดินทาง 3 ชั่วโมง
คำถามก็คือเราจะ “เลือก” ทำอย่างไรกับเจ้าเวลา 4-5 ชั่วโมงที่เหลือ?
จะไถฟีด Facebook/Instagram หรือ จะฟัง Podcast/Audiobook?
จะเข้านอนแต่หัวค่ำ หรือ จะดู YouTube ต่อไปเรื่อยๆ?
จะโทรหาพ่อแม่ เพื่อน คนที่รักเรา หรือนึกโกรธแค้นคนที่เขามาทำร้ายหรือทำให้เราไม่มีความสุข?
เหล่านี้คือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิต ที่เราเลือกได้ว่าจะทำหรือไม่ทำอะไร
เริ่มจากการเลือกและทำเรื่องเล็กๆ ให้ดี เมื่อก้าวที่ 1 ได้เริ่ม ก้าวที่สองจะตามมาเอง
ขอให้มีความสุขกับการพัฒนาตัวเองค่ะ
Photo by Brendan Church on Unsplash